กาลครั้งหนึ่งไม่นานนัก ที่ราชสำนักได้จัดให้มีการอบรมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างข้าราชการด้วยกัน มือปราบผู้หนึ่งได้เล่าถึงวีรกรรมเมื่อครั้งอดีตของเขาให้ทุกคนได้ฟัง ครั้งหนึ่งข้าได้ไล่ล่าโจรป่าไปจนถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง เจ้าโจรป่ามีวรยุทธพอตัว และวันนั้นมันมีพรรคพวกซุ่มอยู่อีกคน จึงกลายเป็นสองคนรุมฆ่าเพียงคนเดียว ด้วยที่พวกมันมีเยอะกว่าข้าจึงเสียเปรียบและเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
แล้วครั้งนั้นท่านเอาชนะพวกโจรป่าได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ
ด้วยความที่ข้าตกเป็นรองข้าจึงแสร้งทำเป็นเพลี้ยงพล้ำหนีลงไปในแม่น้ำ พอพวกมันไล่ตามค่าไป ข้าก็รีบกระโดดขึ้นไปบนฝั่ง เมื่อนั้นข้าก็ได้เปรียบทางชัยภูมิ เพราะทั้งอยู่ที่สูงกว่าและไม่มีน้ำเป็นตัวลดทอนความเร็ว ถ้าจึงอาศัยจังหวะนี้จัดการพวกโจรให้มอบราบได้ในชั่วพริบตา
อืม ท่านใช้เคล็ดวิชา ‘ชัยภูมิที่เป็นต่อ’ เพื่อความได้เปรียบนี่เอง
“ถูกต้องแล้วล่ะ”
“เยี่ยมยุทธ เยี่ยมยุทธ”
เฉินกุ้ยเซียงซึ่งวันนั้นได้มาพูดคุยธุระกับเสนาบดี และกำลังจะเดินทางกลับเมื่อเห็นกิจกรรมที่พวกข้าราชการทำก็ได้เอ่ยชื่นชมกับเสนาบดีว่า
“ท่านเสนาบดีช่างโชคดีที่มีข้าราชการที่มีความสามารถ ซ้ำยังมีความสมัครสมานสามัคคีกันเป็นอย่างดี”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
มือปราบนั้นแม้จะมีวรยุทธเป็นเลิศ เชี่ยวชาญสมรภูมิการต่อสู้แต่ในสมรภูมิแห่งการเจรจาต่อรองกับอ่อนด้อยไม่เป็นท่า ทุกครั้งที่มีการเจอเจรจาต่อรอง ก็มักจะประมาทเกรงใจเรื่องที่ควรพูดก็ไม่พูด ที่ไม่ควรพูดกลับพูดเป็นแบบนี้อยู่ประจำ
“เถ้าแก่ รถม้าคันนี้ถ้าลดราคาให้ข้าได้สักเท่าไหร่” มือปราบ
“อืม เห็นว่าท่านเป็นคนมีชื่อเสียง รถม้าคันนี้ค่ารถให้ท่านพิเศษเลยก็แล้วกัน จาก 1,000 ตำลึงลดเหลือ 900 ตำลึงก็พอ ราคานี้สำหรับท่านเพียงคนเดียวเลยนะ” พ่อค้ารถม้า
“ให้ค่าเพียงคนเดียวเลยอย่างนั้นหรือ อืม เช่นนั้นค่าตกลงเอาคันนี้แหละ”
“ขอบคุณท่านมือปราบ” พ่อค้ารถม้า
“อืม ดีจังเลยได้ของถูกลงตั้งร้อยตำลึงแหน่ะ” แต่เมื่อมือปราบเอารถม้าออกมาที่ตลาด และจอดใกล้ๆกับคนที่มีรถม้าแบบเดียวกัน ก็ได้ยินเจ้าของรถมาคุยกันว่า
“นี่เจ้ารู้ไหมรถม้าคันนี้ข้าได้มาถูกมากเลย ทีแรกคนขายจะลดให้เหลือ 900 ตำลึง ข้าเลยลองต่อ 800 ตำลึงทีแรกก็ไม่ยอมลดให้ แต่พอข้าบอกว่าไม่เอาจะเดินออกจากร้านเท่านั้นแหละ ยอมลดให้ค่าเหลือ 800 ตำลึงเลย” ชาวบ้าน1
“โอ้โห พวกท่านซื้อรถม้านี้ได้แค่ 800 ตำลึงเองอย่างนั้นหรือ ถ้าซื้อได้ตั้ง 900 ตำลึงแหนะ” มือปราบ
“อ้าว เหตุใดท่านไม่ต่อรองลงหน่อยล่ะ” ชาวบ้าน1
“ก็เขาบอกว่าลดให้พิเศษสำหรับค่าเพียงคนเดียวแล้วน่ะสิ ข้าก็เลยไม่กล้าต่อรองอีก” มือปราบ
“อ้าวท่านมือปราบ ของที่ต่อรองได้ราคาที่คนขายบอกมาเป็นราคาที่กั๊กไว้อยู่แล้ว ยังไงก็ต้องลดได้อีกได้มากได้น้อยก็อีกเรื่อง” ชาวบ้าน1
วันต่อมา..
“กลับบ้านไปกินผลไม้ที่ซื้อไว้ดีกว่า เดี๋ยวจะเน่าเสียกินไม่ทัน” มือปราบ
“เร่เข้ามา เร่เข้ามา ผลไม้หวานๆ ฉ่ำๆ มาชิมดูก่อนได้ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร” พ่อค้าผลไม้
“อืม ท่าทางน่ากินจังไหนข้าขอลองสักชิ้นสิ” มือปราบ
“เชิญเลยครับ” พ่อค้าผลไม้
“อืม งั่มๆ หวานอร่อยดีจริงๆ ด้วย” มือปราบ
“เช่นนั้นจะรับกี่ผลดีครับท่านมือปราบ” พ่อค้าผลไม้
“เออคือเช่นนั้นให้ค่าสัก 2 ผลก็แล้วกัน” มือปราบ
“ได้ครับ ขอบคุณที่อุดหนุน โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ” พ่อค้าผลไม้
“ทีแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหรอก แต่พอได้ลองชิมแล้วก็เกรงใจ เลยซื้อกลับมาจนได้ของเก่าอยู่ที่บ้านก็ยังกินไม่หมดเลย แล้วคราวนี้จะกินทันไหมล่ะเนี่ย” มือปราบบ่นกับตัวเองพึมพำ
อยู่มาวันหนึ่ง เสนาบดีได้มอบหมายให้มือปราบทำการเจรจาจัดซื้ออาวุธชนิดใหม่จากพ่อค้าชาวต่างชาติ
“มือปราบ มีพ่อค้าชาวต่างชาติติดต่ออยากขายอาวุธให้แก่เรา เห็นว่าเจ้ามีความเชี่ยวชาญด้านอาวุธดีที่สุดในราชสำนักนี้ ฝากช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ทีนะอย่าให้ถูกเอาเปรียบได้ล่ะ” เสนาบดี
“ได้ครับ” มือปราบรับมอบหมายภารกิจอย่างแข็งขัน ทั้งที่ในจิตใจกับหวั่นวิตกเป็นอย่างมาก
“ถ้าจะทำอย่างไรดีนะเรื่องอาวุธข้าพอมั่นใจ แต่เรื่องการเจรจาต่อรองนี่สิไม่เคยสำเร็จเป็นที่น่าพอใจเลยสักครั้ง” พลันมือปราบก็คิดขึ้นมาได้ว่า “เคยเห็นพวกบัณฑิตเมื่อยามมีปัญหาคิดไม่ตก ก็มักไปขอคำชี้แนะจากท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียงที่เขาปัญญายุทธอยู่เป็นประจำ เห็นทีว่าเราคงต้องไปลองขอคำชี้แนะจากท่านนักพจน์ดูสักหน่อยแล้ว.. “